วันจันทร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2562

วิธีปลูก “ไผ่ตงลืมแล้ง” เพียง 1 ไร่ ให้ได้กำไรมากกว่าปีละ 2 แสน



วิธีปลูก “ไผ่ตงลืมแล้ง” เพียง 1 ไร่ ให้ได้กำไรมากกว่าปีละ 2 แสน

ไผ่เศรษกิจรสชาติดีให้หน่อดกทนแล้งได้ดีให้หน่อได้ตลอดทั้งปี สร้างรายได้ให้กับเกษตรกรได้เป็นอย่างดี

         “ไผ่ตงลืมแล้ง” เป็นพืชที่ปลูกและดูแลไม่ยาก แต่หากเริ่มต้นไม่ถูกวิธีหรือเริ่มต้นแบบงูๆ ปลาๆ ก็อาจจะก่อปัญหาสร้างความกวนใจให้ผู้ปลูกไผ่ตงลืมแล้งมิใช่น้อย เมื่อรู้อย่างนี้แล้วเราลองมาดูวิธีการเริ่มต้นปลูกไผ่ตงลืมแล้ง เพื่อสร้างรายได้ให้กับเราดีกว่า  

การปลูกไผ่ตงลืมแล้งอย่างถูกวิธี
           ฤดูที่เหมาะสมในการปลูกไผ่ตงลืมแล้งควรจะปลูกช่วงต้นฤดูฝน หรือราวเดือนพฤษภาคมถึงตุลาคม เนื่องจากในช่วงเริ่มแรกของการปลูกไผ่ตงลืมแล้ง ตัวของต้นไผ่เองต้องการน้ำมากจะขาดน้ำไม่ได้เลย เพราะไผ่ตงลืมแล้งต้องนำไปใช้เลี้ยงลำและสร้างหน่อใหม่

การเตรียมพื้นที่ในการปลูกไผ่ตงลืมแล้ง
           หากพื้นที่ที่จะปลูกไผ่ตงลืมแล้งมีต้นไม้ใหญ่อยู่ ก็ควรที่จะตัดโค่นไม้ใหญ่ออก เพราะจะไปแย่งอาหารจากไผ่ถ้า ไม่เช่นนั้นไผ่จะโตช้าและต้องให้ปุ๋ยมากกว่าปกติ ถ้าเป็นพื้นที่ใกล้แหล่งน้ำจะดีมาก เพราะไผ่ตงลืมแล้งเป็นพืชที่ต้องการน้ำมาก โดยส่วนใหญ่แล้วไผ่ทั่วไปไม่ชอบน้ำขัง แต่สำหรับไผ่ตงลืมแล้งถึงแม้ว่าจะโดนน้ำท่วมขังก็ไม่ตาย ท่านเลือกพื้นที่ที่จะทำการปลูกได้แล้ว เราจะเริ่มการเตรียมพื้นที่ปลูกโดยการไถหยาบตากแดดให้ดินแห้งเพื่อกำจัดเชื้อราและวัชพืชบางชนิด ทิ้งไว้ สัก 5-7 วัน ไถละเอียดอีกครั้งเป็นอันใช้ได้

จำนวนกิ่งพันธุ์ไผ่ตงลืมแล้งที่จะใช้ปลูก ต่อ 1ไร่


                โดยส่วนใหญ่ผู้ปลูกไผ่ตงลืมแล้งจะนิยมปลูกไผ่ที่ระยะ 3*4 เมตร คือระยะห่างระหว่างต้น 3 เมตร ระยะห่างระหว่างแถว 4 เมตร ใช้กิ่งพันธุ์ประมาณ 120 กิ่งโดยมีหลักการคำนวนดังนี้
                1 ไร่ = 400 ตารางวา โดยที่ 1 วา = 4 เมตร ดังนั้นพื้นที่1 ไร่ = 1,600 ตาราเมตร
                พื้นที่ 1,600 ตารางเมตร. จะมีพื้นที่ขนาด กว้าง x ยาว = 40 เมตร x 40 เมตร.
                ต้องการปลูกระยะระหว่างแถว 4 เมตร จะสามารถปลูกไผ่ตงลืมแล้งได้ 40 เมตร/ 4 เมตร = 10 แถว
                ต้องการปลูกระยะระหว่างต้น 3 เมตร ต้องใช้กิ่งพันธุ์ไผ่ตงลืมแล้ง 40/ 3 = 12 ต้น
                พื้นที่ 1 ไร่ จะใช้กิ่งพันธุ์ไผ่ตงลืมแล้งทั้งหมด ( 10 x 12 ต้น) = 120 ต้น
          หากปลูกที่ระยะน้อยกว่านี้ การเข้าไปดูแลจัดการสวนจะทำได้ยากและไม่สะดวก อีกทั้งไผ่ยังจะแย่งอาหารกันเองทำให้ต้องให้ปุ๋ยไผ่บ่อยกว่าเดิม

การปลูกไผ่ตงลืมแล้ง
           1. ขุดหลุมปลูกให้ได้ขนาดประมาณ 40 x 40 x 40 ซ.ม. แต่ขนาดของหลุมก็ขึ้นอยู่กับสภาพของดินถ้าเป็นร่วนปนทรายหลุมก็ไม่จำเป็นต้องใหญ่ บางพื้นที่ที่เป็นดินเหนียวหลุมที่ปลูกก็จะเล็กลงมาหน่อย ระยะห่างระหว่างต้นอยู่ที่ 3 x 4 เมตร โดยขุดหลุมและนำดินขึ้นมากองไว้ใส่ปุ๋ยคอกผสมกับหน้าดินที่ขุดขึ้นมาลงไปประมาณ 0.5-1.0 กิโลกรัม แนะนำให้ใส่ยาฆ่าแมลงฟูราดานลงไปด้วย 1 ช้อนชาเพื่อแก้ปัญหาปลวกในพื้นที่ปลูก 


           2. หลังจากนั้นผสมดินกับปุ๋ยคอกให้เข้ากันรองก้นหลุม ด้วยดินที่ผสมปุ๋ยคอกแล้วเพื่อเป็นอาหารให้ต้นไผ่ในช่วงสองเดือนแรก โดยจะให้สูงจากดินก้นหลุมประมาณ 10-15 ซม. แล้วนำต้นกล้าไผ่ตงลืมแล้งวางลงไปในหลุม


           3. ให้วางกิ่งไผ่เอียงประมาณ 50-60 องศา เพราะหน่อต่อไปจะได้แทงขึ้นตรงและเร็ว ฉีกถุงพลาสติกออกก่อนวางกิ่งพันธุ์ กลบดินจนพูน ตอนนี้ให้รดน้ำและอัดดินให้แน่น เมื่อดินล่างแน่นแล้วให้กลบดินทั้งหมดลงไป พูนดินบริเวณโคนกิ่งไผ่ให้เป็นเนินสูงเล็กน้อย


           4. ใช้ไม้ปักเป็นหลักตอกยึดกิ่งไผ่ไว้ให้แน่น เพื่อกันลมโยกหรือถ้าลมไม่แรงมากก็ไม่ต้องปักหลักไม้ รดน้ำให้ชุ่ม ควรใช้ทางมะพร้าวหรือวัสดุอื่นช่วยพรางแสงแดดจนกว่าต้นกล้าจะมีใบใหญ่และตั้งตัวได้ แล้วจึงค่อยเอาออก

การดูแลรักษา
1. การใส่ปุ๋ยไผ่ตงลืมแล้ง
          ในช่วงแรก (1-3เดือน) ต้นไผ่สามารถใช้ปุ๋ยคอกที่คลุกเคล้าไปกับดินที่ปลูกได้พอ แต่ในระยะต่อๆ ไป จำเป็นต้องมีการพรวนดินรอบๆ กอและใส่ปุ๋ยคอก 1 เดือน/ ครั้ง ครั้งละประมาณ 2-3 กิโลกรัม ในระยะนี้อาจจะเห็นว่าหน่อที่แตกจะมีขนาดค่อนข้างเล็กและจะมีขนาดโตขึ้นทุกๆ ปี ถ้าความชุ่มชื้นและดินอุดมสมบูรณ์ดีเพียงพอ แต่ถ้าจะให้ผลรวดเร็วควรจะให้ปุ๋ยเคมี 46-0-0 เร่ง ประมาณ2-3กำมือ/ กอ/ เดือน จะทำให้ไผ่เกิดหน่อปริมาณมากตลอดปี พอเข้าเดือนที่ 7 จะทำการตัดแต่งกอและพรวนดินเพื่อกำจัดวัชพืช ปกตินิยมพรวนดินอีกครั้งในช่วงเดือนตุลาคมถึงพฤศจิกายน ก่อนที่ดินจะแห้ง เพราะถ้าดินแห้งจะพรวนดินยาก ในกรณีที่ต้องการเร่งการออกหน่อ (กรณีพิเศษ) จะใส่ในช่วงต้นเดือน ก.พ.ถึง พ.ค. ปุ๋ยที่นิยมคือใช้ปุ๋ยคอกเป็นหลัก ในอัตรา 2-3กิโลกรัมต่อ กอ/ เดือน หรืออาจใช้ปุ๋ยเคมีสูตร13-13-21 อัตรา 200กรัมต่อกอ และปุ๋ยเคมีสูตร 46-0-0  200กรัม/ กอ (เร่งหน่อเพื่อขาย ก่อนหน่อไม้ไทยจะเริ่มออกหน่อ)

2. การให้น้ำไผ่ตงลืมแล้ง 
         ช่วงแรก (โดยเฉพาะ 1-3 เดือน) ต้นไผ่ต้องการน้ำมาก ควรให้น้ำวันเว้นวัน แต่ถ้าปลูกไผ่ในฤดูฝน อาจไม่จำเป็นต้องให้น้ำถี่ขนาดนั้นก็ได้ นอกจากในกรณีฝนทิ้งช่วงนานจึงให้น้ำช่วย แต่หลังจากหมดฝนแล้ว ผู้ปลูกต้องคอยรดน้ำให้เสมออย่าปล่อยให้ขาดน้ำนาน เพราะในปีแรกต้นไผ่ยังไม่ค่อยแข็งแรงนักถ้าไม่มีน้ำ อาจตายได้โดยง่าย หลังจากต้นไผ่อายุเกิน 6-8 เดือน ไปแล้ว จะแข็งแรงและทนต่อสภาพแห้งแล้งได้ดีขึ้น
 
3. การไว้ลำและการตัดแต่งกอไผ่ตงลืมแล้ง
          ไผ่ตงลืมแล้งเมื่อปลูกได้ประมาณ 3-4 เดือนจะเริ่มแตกหน่อได้ประมาณ 2-3 ลำ ในระยะแรกนี้จะไม่มีการตัดหน่อเลย ปล่อยให้เป็นลำต่อไป การดูแลกอไผ่ในช่วงนี้จะทำการตัดลำต้นที่เล็กออกไป ไม่ต้องเสียดาย ให้เหลือไว้เฉพาะลำที่ใหญ่ ลำที่มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 1-1.5 นิ้วตัดทิ้งให้หมด
           วิธีการตัด ต้องตัดให้จมดิน อย่าให้มีตาเหลืออยู่อีก (ไม่ต้องการให้ขยายพันธุ์อีก) กิ่งแขนงเล็กๆ บริเวณโคนต้นที่ขึ้นเกะกะของลำแม่ควรตัดแต่งให้โล่ง (แสงแดดส่องถึงพื้นได้) เพื่อสะดวกในการให้น้ำและดูแล เมื่อต้นไผ่อายุได้ประมาณ 7-8 เดือนจะมีหน่อแทงขึ้นมาอีก 5-6 หน่อ ตอนนี้ก็ยังไม่มีการตัดหน่อ ปล่อยให้ไผ่เป็นลำต่อไป แต่ถ้าพื้นที่ตรงนั้นดินอุดมสมบูรณ์ดี หน่อออกเยอะเราควรตัดขายไปบ้าง เช่นถ้าขึ้นมา 5 หน่อให้ตัดขายไป 3 หน่อ แต่ให้เลือกเอาหน่อที่สมบูรณ์ไว้(หน่อที่เบียดกันให้ตัดออกขายไป) การดูแลกอไผ่เพียงแค่ตัดเอาหน่อเน่า ลำคดเอียงแคระแกร็นออกและตัดแต่งกิ่งแขนงเล็กๆทิ้ง รักษาลำไผ่ให้มีอยู่ประมาณ 5-6ลำ (ลำใหญ่ๆ) 
           จากนั้นจึงเริ่มตัดหน่อขายบ้าง การตัดหน่อขายนี้ควรจะตัดจากกลางกอก่อนแล้วขยายออกมารอบนอกกอ ซึ่งหน่อนอกๆ ต้องมีการรักษาไว้บ้างเพื่อให้เป็นลำแม่ โดยเลือกหน่อที่อวบใหญ่และอยู่ในลักษณะที่จะขยายออกเป็นวงกลมเพื่อจะทำให้กอใหญ่ขึ้น มีหน่อมากขึ้นในปีต่อไป สะดวกที่จะเข้าไปดูแลรักษาและตัดหน่อ การตัดแต่งกอนั้น ควรทำติดต่อกันทุกๆ ปี สำหรับไผ่ตงลืมแล้งนี้ควรแต่งกอไผ่ประมาณต้นเดือน ก.ค. เพราะตอนนี้ ไผ่ชนิดอื่นกำลังออกหน่อ ช่วงนี้หน่อไม้ออกเยอะราคาไม่ค่อยดี ควรปล่อยหน่อให้เจริญเป็นลำแม่ได้เต็มที่ พอต้นเดือนตุลาคมจึงค่อยอัดปุ๋ยคอกและน้ำเพื่อเร่งการออกหน่อในช่วงหน้าหนาวและหน้าแล้ง ช่วงนี้ราคาของหน่อไผ่จะดีมาก (พ.ย.-พ.ค.) ของทุกปี

4. การบังคับให้ไผ่ตงลืมแล้งเกิดหน่อมากขึ้น
           ในการบังคับให้ไผ่ตงลืมแล้งแทงหน่อมากขึ้นตามฤดูกาลนั้น นอกจากการใส่ปุ๋ยและปฏิบัติดูแลตามปกติแล้ว ยังมีวิธีกระตุ้นให้ไผ่ตงแทงหน่อมากขึ้น โดยการสุมไฟในฤดูแล้งช่วงที่ลมสงบ (ปลายเดือน ม.ค-ก.พ.) โดยการรวบรวมใบไผ่และ กิ่งแขนง ที่ได้จากการตัดแต่งกิ่งแล้วนำมากองให้ห่างจากกอประมาณ 1 เมตร จุดไฟเผา แต่ต้องระวังไม่ให้ไฟกระโชกมาก โดยการพรมน้ำช่วยหรืออาจเอาใบไผ่และกิ่งแขนงสุมในกอเลย แต่ต้องระวังไม่ให้ไฟลามไปติดส่วนบนๆ ของกอ ในการสุมไฟนั้น เข้าใจว่าเป็นการเร่งให้ไผ่ตงมีการพักตัวเร็วขึ้น (hardening) เมื่อก่อนเข้าสู่ฤดูฝนจะได้แทงหน่อมากขึ้น หลังจากที่ได้พักตัวอย่างเต็มที่และการสุมไฟยังช่วยในการกำจัดโรคและแมลงไปพร้อมกันด้วย 
          นอกจากนี้ ยังมีวิธีการบังคับการออกหน่อวิธีอื่นอีก เช่น การพรวนดินแปลงไผ่ตงลืมแล้ ทั้งในระหว่างแถวและระหว่างต้น โดยทำการพรวนดินในช่วงก่อนฤดูแล้ง ประมาณเดือน ก.ค.-ก.ย. เป็นการทำลายรากแก่เพื่อให้แตกรากใหม่ ดังนั้นในการพรวนดิน การให้น้ำ ให้ปุ๋ยอย่างสม่ำเสมอจะทำให้ไผ่ตงลืมแล้งออกหน่อเร็วและดกตลอดปี ส่วนการบังคับให้ไผ่ตงลืมแล้งแทงหน่อนอกฤดูปกติก็ทำได้เช่นกัน โดยการบำรุงต้นด้วยการใส่ปุ๋ยเคมีเพิ่มรวมกับปุ๋ยคอกและการให้น้ำอย่างถูกต้อง ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น จึงสามารถเร่งหน่อได้ และจะทำได้เฉพาะแปลงปลูกที่มีแหล่งน้ำอย่างเพียงพอเท่านั้น (จำเป็น)

5. การป้องกันกำจัดแมลงศัตรูของไผ่ตงลืมแล้ง 
           ปกติไม่มีการระบาดรุนแรงของโรคและแมลงในสวนไผ่มากนัก มีเพียงแมลงพวกหนอนผีเสื้อกลางคืนมากัดกิน และม้วนใบไผ่เพื่อหลบซ่อนและเป็นที่อาศัยในระยะเป็นดักแด้บ้างเล็กน้อย แมลงที่เข้าทำลายหน่ออ่อนของไม้ไผ่ส่วนมากเป็นประเภทกัดกินหน่อ 4-5 ชนิด คือ หนอนด้วงเจาะหน่อไผ่ (ไผ่ตงลืมแล้งไม่ค่อยเจอเพราะลำค่อนข้างตัน), ด้วงกินหน่อ, ด้วงงวงเจาะกิ่ง , เพลี้ยอ่อนและมวนดูดน้ำเลี้ยง การควบคุมและกำจัดสามารถกระทำได้หลายวิธี คือ ภายหลังที่หน่อเริ่มแตกจากตาของเหง้าปล้องแล้ว ก็หาทางป้องกันพวกเชื้อราและแมลงที่เข้ามากัดกินและอาศัยอยู่ตามกาบของหน่ออ่อน โดยการใช้สารปราบศัตรูพืช เช่น มาลาไทออน ผสมน้ำราดที่หน่อและเหง้า หรือใช้ฟูราดาน ภูไมด์ หว่านลงที่ดิน แต่อย่านำหน่อไปบริโภคภายใน 60 วัน หรือใช้วิธีควบคุมโดยการลิดกิ่ง หรือตัดลำแก่ที่เป็นที่อยู่ของดักแด้ออก แล้วทำลายหรือขายลำไป จึงเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยลดจำนวนประชากรแมลงได้ ส่วนมากแล้วไม่ค่อยพบปัญหาเกี่ยวกับโรคต่างๆ ในไผ่ตงลืมแล้ง แต่จะพบเพลี้ยตัวสีขาวๆ เกิดขึ้นตามข้อไผ่อ่อน เราอาจใช้ผงซักฟอกละลายน้ำราดรดลงไปก็จะหาย ถ้ามีจำนวนน้อยไม่มากนักก็ใช้มือขยี้ ถ้าจำเป็นต้องใช้เคมีก็ต้องใช้ชนิดอ่อนๆ เช่น เซฟวิน ฉีดพ่นครับ

6.การตัดหน่อไผ่ตงลืมแล้ง


           ไผ่ตงลืมแล้งจะแทงหน่อตลอดปีแต่จะดกมากเมื่อเริ่มเข้าฤดูฝน (เม.ย.-มิ.ย.) การตัดหน่อจะตัดเมื่อหน่อยาวประมาณ 1 ฟุต โดยใช้เสียมหางปลาตัดหน่อบริเวณกาบใบที่ 3 จากโคนหน่อ ซึ่งจะเหลือตาไว้ 2-3 ตา สำหรับแตกหน่อในช่วงถัดไป สำหรับหน่อที่ไม่แข็งแรงให้ตัดออกทิ้งไป 
           การตัดหน่อควรทำตอนเช้ามืด เพื่อจะได้หน่อไม้สดส่งตลาด หน่อไม้ไผ่ตงลืมแล้ง(หน่อไม้หวาน)ที่ตัดไว้นาน ๆ จะทำให้ความหวานของหน่อลดลง ดังนั้น ควรตัดหน่อแล้วรีบขายทันที ในการตัดหน่อควรเริ่มตัดหน่อจากกลางกอก่อน แล้วขยายวงออกมารอบนอกกอ ส่วนหน่อที่อวบใหญ่ที่อยู่ด้านนอกควรมีการรักษาไว้เพื่อให้เป็นลำแม่

7.การแก้ปัญหาโคนไผ่ลอย
           ไผ่ตงลืมแล้งหากโคนไผ่ลอยจะทำให้ออกหน่อน้อยหรือแทบจะไม่ออกเลย มีวิธีแก้แบบง่ายๆ ดังนี้


ที่มาเนื้อหาและภาพ : สวนไผ่อริยะระยองขอบคุณข้อมูลเพิ่มเติมจาก : http://xn--72cfa1hey3b0dtji.com/detail.php?id=2167

วิธีปลูกข่าเหลืองขาย ไร่ละแสนอัพ ปลูกครั้งเดียวเก็บเกี่ยวนาน




วิธีปลูกข่าเหลืองขาย ไร่ละแสนอัพ ปลูกครั้งเดียวเก็บเกี่ยวนาน
ปลูกข่าเหลืองขาย พืชทำเงินต่อไร่สูง หลักแสนบาททำได้ ลงทุนครั้งเดียวเก็บเกี่ยวได้นาน สร้างรายได้ต่อเนื่อง  ถ้าว่าไปแล้วใครๆก็คงรู้จัก ถ้าแค่จะปลูกเป็นพืชผักสวนครัวไว้บริโภคในบ้านนั้นคงไม่ต้องยุ่งยากอะไรมาก เพราะปลูกได้ง่ายๆ แต่ถ้าหากว่าใครสนใจอยากจะปลูกข่าเหลืองขาย ก็ควรเรียนรู้เรื่องการเพาะปลูกเพื่อให้ได้ผลผลิตสูงๆต่อพื้นที่ ทั้งนี้ความต้องการของตลาดก็มีสูงต่อเนื่อง เพราะนำไปทั้งทำอาหารและอุสาหกรรมยาด้วย
ข่าเหลือง ตลาดใหญ่ของข่าเหลืองอยู่แถวภาคอีสานของไทย ใครสนใจอยากจะทำธุรกิจเกษตรบางกอกทูเดย์เรามีวิธีปลูกข่าเหลืองมาแนะนำ เพื่อเป็นโอกาสสำหรับผู้ที่สนใจในธุรกิจเกษตร เพราะยิ่งสามารถปลูกผสมเข้าไปกับสวนพืชอื่นๆแล้ว ก็อาจจะช่วยเพิ่มรายได้เข้ามา หรือปลูกเป็นพืชสวนผสมก็ทำให้มีรายได้หมุนเวียนมั่นคงมากขึ้น
ปลูกข่าเหลือง :เครดิตภาพจาก www.ranong.doae.go.th
ปลูกข่าเหลือง :เครดิตภาพจาก www.ranong.doae.go.th
วิธีปลูกข่าเหลืองขาย [เชิงการค้า]
การเลือกพันธุ์ข่าเหลือง  ต้นพันธุ์ คือสิ่งสำคัญมาก เพราะถ้ามีพันธุ์ที่ดีแล้ว ทุกอย่างจะง่ายขึ้นมาก ทั้งการปลูก การดูแลรักษา และรวมถึงผลผลิตที่จะได้รับด้วย ดังนั้นแล้วผู้ปลูกควรคัดเลือกต้นพันธุ์ที่ดีและเป็นที่ต้องการของตลาดด้วย ส่วนราคาของพันธุ์ข่า นั้นขายเป็นกิโลกรัม ราวๆ 30 บาทต่อกิโลกรัม การใช้พันธุ์ข่าต่อ 1 ไร่ ประมาณ 500 กิโลกรัม ควรเป็นข่าแก่
วิธีการปลูกข่าเหลือง ควรปลูกเป็นแถวระยะห่างประมาณ 70×70 เซนติเมตร ก่อนลงหลุมปลูก ควรรองก้นหลุมด้วยปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 พร้อมด้วยปูนขาวประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ หลังจากปลูกแล้วเกษตรกรต้องกำจัดวัชพืชที่ขึ้นรอบหลุมปลูกเป็นประจำและให้ปุ๋ยสูตรเดิม หรือ 46-0-0 เดือนละประมาณ 2 ครั้ง จนกระทั่งข่าเหลืองอายุได้ 7 เดือน ก็สามารถขุดจำหน่ายได้ แต่ช่วง 15 วัน – 1 เดือน ก่อนที่จะขุดข่าเหลืองส่งตลาด ต้องใส่ปุ๋ยสูตร 0-0-60 อีกครั้ง เพื่อกระตุ้นให้หน่อมีความสมบูรณ์ อวบใหญ่และมีน้ำหนักมากขึ้น
ขอบคุณข้อมูลการปลูก จาก cr. กลุ่มเกษตรก้าวใหม่ by Rakkaset Nungruethail (คุณหนึ่ง) บรรณาธิการ หนังสือรักษ์เกษตร)
คำนวณต้นทุนของการปลูกข่าเหลือง
การปลูกข่าเหลือง ต้นทุนต่อไร่ ทั้งพันธุ์ข่า และค่าอื่นๆตอนเริ่มปลูก ตกราวๆ 20,000 บาทต่อไร่ ในตอนเริ่มต้น ผู้ปลูกถ้ามีการบริหารจัดการที่ดี หรือดินสภาพดี ก็จะช่วยลดต้นทุนอย่างมีนัยสำคัญได้ สำหรับท่านที่ปลูกมากก็ต้องวางแผนค่าแรงรวมถึงช่วงนำผลผลิตออกจำหน่ายด้วย ตลาดค้าปลีกที่น่าสนใจในปัจจุบัน ร้านค้าสะดวกซื้อ ร้านชุมชนต่างๆ
วิเคราะห์แนวโน้มโอกาสของข่าเหลือง จากประโยชน์
ข่าเหลือง ( Yellow Galango) ประโยชน์ทางอาหาร เหง้าใช้เป็นเครื่องเทศ ใช้เป็นส่วนผสมในการทำอาหารของมนุษย์ เช่น ต้มต่างๆ ลาบ แกงขั้ว และผักจิ้ม ฯลฯ เหง้ามีสารอาหารคาร์โบไฮเดรต ฟอสฟอรัส แคลเซี่ยมและวิตามินซี ข่าเป็นหนึ่งในองค์ประกอบเครื่องทำต้มยำ อาหารอันเลื่องชื่อ เอกลักษณ์ของบ้านเราที่ทำให้ทั่วโลกรู้จักและประทับใจประเทศไทย เวลาที่คุณกินต้มยำคุณจะรู้สึกว่าร่างกายมีอุณหภูมิสูงขึ้น จากที่เคยแน่นท้องหรือมีอาการท้องอืดท้องเฟ้อก็หายเป็นปลิดทิ้ง นั่นก็เป็นเพราะสรรพคุณของข่าที่จัดเป็นยาขับเลือดลมขนานเอกขนานหนึ่งเลยทีเดียว ดังนั้นแล้วโอกาสที่ข่าจะเป็นวัตถุดิบในการผลิตยาหรือเครื่องเทศต่างๆจึงมีมากทั้งในปัจจุบันและอนาคต ยิ่งปัจจุบันคนใส่ใจสุขภาพ มีความรู้เรื่องสุขภาพมากยิ่งขึ้น ยิ่งความรู้เรื่องสรรพคุณของข่า มีการเผยแพร่วงกว้างมากเท่าใดโอกาสก็มากตามเท่านั้น คิดแค่ว่า อาหารที่เป็นเอกลักษณ์ของประเทศไทยเรา คือ ต้มยำ ก็มีข่าเป็นส่วนประกอบที่ขาดไม่ได้
ตลาดข่าเหลือง ตลาดที่ใหญ่ๆ จะอยู่แถบอีสาน สำหรับผลตอบแทนต่อไร่นั้น ปัจจุบัน ราวๆ 100,000 บาท ขึ้นไป จากข้อมูลที่บางกอกทูเดย์สำรวจมา ความต้องการของข่าเหลืงจมีทั้งแบบซื้อนำไปประกอบอาหารและใช้ในอุตสาหกรรมอาหารและยา จึงทำให้ข่าเหลืองเป็นที่ต้องการอย่างต่อเนื่องอีกทั้งการปลูกแต่ละครั้ง จะเก็บเกี่ยวผลผลิตซ้ำได้หลายปี ขึ้นอยู่กับการดูรักษาด้วย
ขอบคุณ ภาพประกอบจาก www.ranong.doae.go.th ,เนื้อหาการปลูก จาก กลุ่มเกษตรก้าวใหม่ by Rakkaset Nungruethail (คุณหนึ่ง) บรรณาธิการ หนังสือรักษ์เกษตร)
เรียบเรียง โดย บางกอกทูเดย์.เน็ต

วิธีปลูกมะพร้าวน้ำหอมให้ได้ลูกดกตลอดทั้งปี แถมยังสร้างรายได้หลักหมื่นอีกด้วย!!!




วิธีปลูกมะพร้าวน้ำหอมให้ได้ลูกดกตลอดทั้งปี แถมยังสร้างรายได้หลักหมื่นอีกด้วย!!!
มะพร้าวน้ำหอม ผลไม้ไทยอีกหนึ่งอย่างที่โด่งดังไปทั่วโลก ด้วยรสชาติอันหวานหอมของน้ำมะพร้าว อีกทั้งเนื้อมะพร้าวก็มีกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ ประเทศไทยเป็นประเทศเดียวที่มีมะพร้าวน้ำหอมส่งขายต่างประเทศ ยิ่งผู้บริโภครู้ว่า น้ำมะพร้าวมีประโยชน์ต่อสุขภาพ ช่วยชะลอความแก่ บำรุงผิวพรรณ ความต้องการเลยเพิ่มมากขึ้น สำหรับใครที่สนใจอยากปลูกมะพร้าวน้ำหอม ให้มีลูกดกตลอดทั้งปี ไม่ว่าจะปลูกกินหรือปลูกขาย วันนี้ ลูกหมี มีเคล็ดลับการปลูกมะพร้าวดีๆจากเพจ ศูนย์รวมความรู้การเกษตร  มาฝากกันค่ะ ว่าแล้วก็ไปดูกันเลย
เริ่มจากการเตรียมหลุมปลูก
เตรียมพื้นที่ โดยไถแปร ไถพรวน ชักร่อง ใช้ระยะ 3x2 เมตร แล้วหว่านเมล็ดพืชตระกูลถั่ว เช่น ถั่วเขียว ฯลฯ เพื่อปรับปรุงคุณภาพดิน และเพิ่มปุ๋ยอินทรีย์ให้กับดินในราคาถูกที่สุด
ควรเตรียมหลุมปลูกในฤดูแล้ง ขุดหลุมขนาด ๕๐x๕๐x๕๐ เซนติเมตร แยกดินส่วนบนไว้ต่างหาก ตากลุมอย่างน้อย ๑ สัปดาห์ถ้ามีปลวกให้เผาเศษไม้ ใบไม้แห้งในหลุม หรืออาจใช้ยากันปลวกโรยก้นหลุมก็ได้
ถ้าปลูกมะพร้าวในพื้นที่แห้งแล้งหรือดินที่ปลูกเป็น ทรายจัดให้ใช้กาบมะพร้าวก้นหลุม โดยวางกาบมะพร้าวในด้านที่มีเส้นใยหงายขึ้นข้าง บนวางซ้อนกัน ๒-๓ ชั้น เพื่อช่วยเก็บความชื้นในดิน
ถ้าไม่มีกาบมะพร้าวจะใช้วัสดุอื่น เช่น ฟางข้าว ใบไม้แห้ง หญ้าแห้ง ฯลฯ แทนก็ได้ ใส่ดินบนที่ผสมปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักในอัตรา ๑:๗ รองก้นหลุมส่วนดินล่างผสมด้วยปุ๋ยฟอสเฟตหลุมละครึ่งกิโลกรัม (ประมาณ ๒กระป๋องนม) เอาดินใส่ลงในหลุมให้เต็ม ทิ้งไว้จนถึงฤดูปลูก
เมื่อขุดหลุมปลูกแล้ว ควรวางลูกมะพร้าวในลักษณะเอียง 45 องศา ปลูกแบบขวางตะวัน เพราะจะทำให้ได้รับแสงแดดตลอดเวลา กลบดินอย่างน้อย 2 ใน 3 ของผล ระวังอย่าให้ดินทับโคนหน่อ เพราะจะทำให้หน่อถูกรัด ต้นจะโตช้า แต่เมื่อมะพร้าวโตขึ้นแล้วก็ควรจะกลบดินให้สูงขึ้น เพื่อป้องกันโคนลอย ทั้งนี้ มะพร้าวใช้เวลาปลูก 30 เดือน หลังจากลงหลุม จึงจะเก็บผลผลิตได้
ระยะปลูกที่เหมาะสม 
คือ ระยะระหว่างต้น x ระยะระหว่างแถว เท่ากับ 6x6 เมตร
วิธีการใส่ปุ๋ยมะพร้าวน้ำหอม :
แม้ว่ามะพร้าวเป็นพืชที่สามารถปลูกได้ในสภาพดินแทบทุกชนิด แต่ปริมาณผลผลิตนั้นขึ้นอยู่กับปริมาณธาตุอาหาร และสภาพความอุดมสมบูรณ์ของดิน สภาพความเป็นกรดเป็นด่างของดินที่เหมาะแก่การ ปลูกมะพร้าวควรอยู่ในช่วงระหว่าง pH ๖-๗
การใส่ปุ๋ยให้พอเหมาะแก่ความต้องการ ของมะพร้าวนั้น ควรนำตัวอย่างดินไปวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการด้วย
ใช้ปุ๋ยคอกจากขี้ไก่แกลบ ทั้งนี้ เพราะมีซิลิกอน ใช้จำนวน 2 กระสอบ ต่อต้น ต่อปี ใส่ทุก 6 เดือน หรือปีละ 2 ครั้ง ใส่แล้วรดน้ำตาม ใช้เกลือร่วมด้วยในปริมาณ 1.5 กิโลกรัม ต่อต้น ต่อปี ใส่ 2 ครั้ง ส่วนปุ๋ยวิทยาศาสตร์ใส่ด้วยทุก 3 เดือน ในปริมาณ 0.5 กิโลกรัม ใช้สูตร 16-16-16
จากการศึกษาพบว่า รากมะพร้าวที่สามารถใช้ประโยชน์จากปุ๋ยได้ดีจะอยู่บริเวณติดกับลำต้นและอยู่ ห่างจากลำต้นภายในรัศมี ๒ เมตร ดังนั้นการใส่ปุ๋ยตั้งแต่โคนต้นไปจนถึง ๒ เมตรโดยรอบ แต่ถ้าเป็นมะพร้าวที่ยังเล็กอยู่ควรหว่านปุ๋ยใกล้โคน มะพร้าวเพราะ รากยังน้อย หลังจากหว่านปุ๋ยแล้วควรพิจารณาดินตื้น ๆ ลึกประมาณ ๑๐ – ๑๕ เซนติเมตร เพื่อให้ปุ๋ยได้คลุกเคล้ากับดินและป้องกัน การชะล้าง
มะพร้าวให้ผลผลิตตอนอายุกี่ปี?
หลังจากปลูกมะพร้าวไปได้ 3 ปี มะพร้าวก็จะเริ่มออกผลแล้ว ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์ของมะพร้าวด้วย อีกทั้งมะพร้าวน้ำหอมเป็นพืชที่ต้องการปุ๋ย ฉะนั้นจึงจำเป็นจะต้องใส่ปุ๋ยบำรุงมะพร้าวด้วย หลังจากที่มะพร้าวออกดอกจนติดลูกแล้ว ก็รอเวลาอีก 7 เดือน สามารถเก็บมะพร้าวได้ เพราะเป็นช่วงเวลาที่มะพร้าวมีคุณภาพ หอมหวานมากที่สุด
ใครสนใจอยากปลูกมะพร้าวน้ำหอมไว้ทานเองที่บ้าน หรือมีพื้นที่อยากปลูกขาย ลองทำตามเทคนิคด้านบนดูนะคะ น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว
ชมภาพเพิ่มเติม
ดกมาก
วิธีตัดทะลายมะพร้าวแบบใช้เชือกมัดทะลายค่อยๆปล่อยๆลงมา 
ถึงพื้นแบบปลอดภัย ผิวไม่ช้ำ ไม่ถลอก
ผลผลิตเยอะมากๆ
ตอนเก็บมะพร้าวออกจากสวนขึ้นรถ
สำหรับคนที่สนใจการปลูกมะพร้าวน้ำหอม สามารถรับชมวิดิโอเพิ่มเติมได้ข้างล่างนี้ค่ะ

เรียบเรียงเนื้อหาโดย : Lookmhee.com
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก : 
ศูนย์รวมความรู้การเกษตร , รายการก้าวไกลกับกรมวิชาการการเกษตร รวมความรู้เศรษฐกิจพอเพียง ตามรอยพ่อ
ข้อมูลเพิ่มเติมจาก : http://www.thairath.co.th
ขอขอบคุณรูปภาพเพิ่มเติมจาก : สวนหม่อนไม้kaset-plant-magazineonline.nakaintermedia.com

สร้างบ้านเล็กๆ ด้วยงบ 3 แสนกว่าบาท




สร้างบ้านเล็กๆ ด้วยงบ 3 แสนกว่าบาท
สร้างบ้านงบ 3 แสน,สร้างบ้านราคาถูก
หลายๆท่านที่กำลังมองหา ไอเดียตกแต่งบ้านใหม่ คอนโด หรือ อพาร์ทเม้น ต้องไม่พลาด เพราะในวันนี้ เราจะขอนำเสนอ สร้างบ้านงบ 3 แสน ไอเดียตกแต่งบ้าน สวย ราคาถูก จะเป็นยังไงไปชมกันเลย!! สำหรับ บ้านสีส้มหลังนี้ ได้กลายเป็นจุดเริ่มต้น ความอบอุ่นของสมาชิก ซึ่งบ้านหลังนี้ เป็นบ้านหลังเล็กๆ สร้างในงบประมาณ 3 แสนบาท โดยสร้างไว้ในจังหวัดเชียงใหม่ เดิมทีนั้น คุณ Bay Beam ตั้งใจไว้ว่า จะให้สถาปนิกมาออกแบบให้ แต่ว่าเนื่องด้วยการขัดข้องในการส่งข้อมูล ทำให้คุณ Bay Beam จึงได้ตัดสินใจออกแบบบ้านเอง และจึงเป็นที่มาของบ้านส้มหลังนี้ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม แอดมินจะนำมาลงเพิ่มให้นะครับ เนื่องจากสมาชิกหลายท่านรีบขอมา จึงยังไม่ได้ถามรายละเอียดมากนัก
สร้างบ้านงบ 3 แสน,สร้างบ้านราคาถูก 01
เริ่มต้นที่ส่วนของหน้าบ้านกันเลย ทางเข้าติดกระจก เลื่อนแทนประตู และยังติดระแนงไม้เพื่อเพิ่มลูกเล่นเข้าไปอีกด้วย
สร้างบ้านงบ 3 แสน,สร้างบ้านราคาถูก 02
สร้างบ้านงบ 3 แสน,สร้างบ้านราคาถูก 03
ข้างหน้าบ้านก็ยังปลูกไม้ประดับ เพื่อบังไม่ให้เห็นในบ้านชัดเจนนัก และยังช่วยสร้างความร่มรื่นให้กับบ้านอีกด้วย
สร้างบ้านงบ 3 แสน,สร้างบ้านราคาถูก 04
สร้างบ้านงบ 3 แสน,สร้างบ้านราคาถูก 05
สร้างบ้านงบ 3 แสน,สร้างบ้านราคาถูก 06
สร้างบ้านงบ 3 แสน,สร้างบ้านราคาถูก 07
สร้างบ้านงบ 3 แสน,สร้างบ้านราคาถูก 08
สร้างบ้านงบ 3 แสน,สร้างบ้านราคาถูก 09
หลายๆคนอาจจะกังวลว่า บ้าน หรือ คอนโดมิเนียม ของเราไม่ใหญ่โต หรือไม่สวย จึงไม่อยากจะนำมาโชว์กัน แต่เป็นความเข้าใจที่ผิด ซึ่งบ้านของคุณ Bay Beam น่าจะเป็นตัวอย่างที่ดีครับ ภาพถ่ายไม่ได้สวยมาก และเนื่องจากรูปนี้ถ่ายเล่นกันเอง บ้านก็ไม่ได้หลังใหญ่โต แต่ว่าก็สร้างความสนใจจากสมาชิกเป็นอย่างมาก เพราะสิ่ง ๆ นี้ อาจจะเหมาะกับหลายๆท่าน ที่พอจะเข้าถึงงบประมาณในการสร้างได้ อย่าลืมส่งกันเข้ามาเยอะๆ นะครับ ไอเดียน้อยๆ ของเรา อาจเป็นไอเดียที่ยิ่งใหญ่ ช่วยเติมเต็มฝันให้ใครอีกหลายคน และก็เป็นความภาคภูมิใจที่ได้แบ่งปันกัน
มาดูภาพเก็บตก ตอนสร้างบ้านกันบ้างดีกว่า…
สร้างบ้านงบ 3 แสน,สร้างบ้านราคาถูก 10
สร้างบ้านงบ 3 แสน,สร้างบ้านราคาถูก 11
สร้างบ้านงบ 3 แสน,สร้างบ้านราคาถูก 12
สร้างบ้านงบ 3 แสน,สร้างบ้านราคาถูก 13
สร้างบ้านงบ 3 แสน,สร้างบ้านราคาถูก 14
สร้างบ้านงบ 3 แสน,สร้างบ้านราคาถูก 15
สร้างบ้านงบ 3 แสน,สร้างบ้านราคาถูก 16
ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก : https://goo.gl/lqZ8jI

ฟันธง! อาหารเหล่านี้ห้ามทานคู่กัน จริงหรือไม่?


ฟันธง! อาหารเหล่านี้ห้ามทานคู่กัน จริงหรือไม่?
อาหารบางอย่างทานเดี่ยวๆ ก็มีรสชาติดี มีประโยชน์มหาศาล แต่ไหงเป็นว่าทานกับอาหารอีกอย่างหนึ่งแล้วให้โทษกับร่างกายได้? ความเชื่อที่ส่งต่อๆ กันมาในอินเตอร์เน็ตเป็นความจริงหรือไม่ Sanook! Health มีคำตอบมายืนยันให้อีกครั้งค่ะ
____________________

tofu-honey
ห้ามกิน เต้าหู้ กับ น้ำผึ้ง?
เขาบอกว่า กินด้วยกันแล้วจะทำใหหูหนวก
เรื่องจริงคือ ไม่เป็นความจริงเลย ไม่มีสารตัวไหนในเต้าหู้ และ น้ำผึ้ง ที่จะทำให้หูหนวกได้เลย หากมีสูตรอาหารที่ต้องทานคู่กัน อร่อยต่อได้ ไม่มีปัญหา
patato-banana
ห้ามกิน มันฝรั่ง กับ กล้วย?
เขาบอกว่า จะทำให้หน้า และผิวหนังเป็นฝ้า
เรื่องจริงคือ ไม่มีสารตัวไหนในมันฝรั่ง และกล้วย ทำร้ายผิวจนเป็นฝ้าได้ เพราะฝ้ามีสาเหตุมาจากแสงแดด ฮอร์โมน ยาที่รับประทาน เครื่องสำอางที่ใข้ พันธุกรรม หรือการขาดสารอาหารบางอย่าง ที่ทำให้ให้ผิวหนังไม่สามารถป้องกันแสงยูวีได้มากพอ
banana-taro
ห้ามกิน กล้วย กับ เผือก?
เขาบอกว่า ทานด้วยกันแล้วทำให้ท้องอืด
เรื่องจริงคือ มีความเป็นไปได้เล็กน้อย เพราะกล้วย และเผือก เป็นอาหารที่ต้องใช้เวลาย่อยปานกลาง หากทานด้วยกันในปริมาณมาก อาจเกิดอาการท้องอืด ที่เกิดจากอาหารไม่ย่อยได้ แต่หากทานในปริมาณน้อยๆ คงไม่ถึงขั้นทำให้ท้องอืดผิดปกติได้
spinach-tofu
ห้ามกิน ปวยเล้ง กับ เต้าหู้?
เขาบอกว่า ทานด้วยกันแล้วจะทำให้เป็นนิ่วที่ไขสันหลัง
เรื่องจริงคือ โรคนิ่วในไขสันหลัง จริงๆ แล้วชื่อของโรคที่ถูกต้องคือ โรคหินปูนเกาะที่กระดูกสันหลัง ที่เกิดจากร่างกายชราภาพลง เกิดจากความพยายามของร่างกายที่จะค้ำจุนเนื้อเยื่อโครงสร้างที่ฉีกขาดไป และอาจก่อให้เกิดปัญหา เมื่อหินปูนไปเกาะตัวที่เส้นประสาท ดังนั้นไม่เกี่ยวข้องกับอาหารทั้ง 2 ชนิดนี้แต่อย่างใด
banana-papaya-watermelon
ห้ามกิน กล้วย มะละกอ และแตงโมด้วยกัน?
เขาบอกว่า ทานด้วยกันแล้วจะทำให้เป็นโรคไต และโรคเบาหวาน
เรื่องจริงคือ สาเหตุของโรคไต และโรคเบาหวาน ไม่ได้มาจากการทานอาหารทั้ง 3 ชนิดนี้ เพราะโรคเบาหวานมีสาเหตุจากกรรมพันธ์ และพฤติกรรมการทานอาหารรสหวาน โรคไตก็มาจากพฤติกรรมการทานเค็ม และยังมีหลายสาเหตุ แต่ไม่เกี่ยวข้องกับผลไม้ทั้ง 3 ชนิดนี้แต่อย่างใด ยกเว้นเป็นผู้ป่วยของทั้ง 2 โรคนี้อยู่แล้ว ต้องระมัดระวังผักผลไม้ที่มีน้ำตาล และ/หรือโพแทสเซียมสูง
orange-lime
ห้ามกิน ส้ม กับ มะนาว?
เขาบอกว่า กรดของส้ม และมะนาว จะทำร้ายกระเพาะอาหาร จนทำให้กระเพาะอาหารทะลุ
เรื่องจริงคือ ไม่เป็นความจริงเลย เพราะค่า pH ในส้ม และมะนาว มีค่าความเป็นกรดน้อยกว่าในกระเพาะอาหารที่มีน้ำย่อยเสียอีก
sake-beer
ห้ามกิน เหล้าขาว กับเบียร์?
เขาบอกว่า ดื่มด้วยกันแล้วจะทำให้เส้นเลือดในสมองแตก
เรื่องจริงคือ แม้จะไม่ได้เป็นความจริงตรงๆ แต่อย่างไรก็ดี แอลกอฮอล์เป็นสิ่งไม่ดี ดื่มเข้าไปมากๆ ก็ทำให้เป็นโรค สุขภาพเสื่อมโทรม อ่อนแอ และเสียชีวิตได้เหมือนกัน

ginger-fridge
ห้ามกิน ขิงดอง ที่แช่ในตู้เย็น?
เขาบอกว่า ขิงดองที่แช่ในตู้เย็น ทานแล้วจะทำให้เป็นโรคมะเร็ง
เรื่องจริงคือ อาหารที่เก็บรักษาคุณภาพด้วยการแช่เย็นในตู้เย็น ไม่ได้มีอันตรายใดๆ ต่อร่างกาย (ยกเว้นเก็บเอาไว้นานเกินไป หรือความเย็นไม่เพียงพอ จนแบคทีเรีย หรือราเจริญเติบโตได้ ทำให้อาหารบูดเสีย แล้วยังนำมาทาน)
daikon-fruits
ห้ามกินหัวไชเท้า กับผลไม้ทุกชนิด?
เขาบอกว่า จะทำให้เป็นโรคคอพอก
เรื่องจริงคือ โรคคอพอกไม่ได้เป็นกันง่ายๆ โรคคอพอกเกิดจากหลายสาเหตุ แต่ถ้าเกี่ยวข้องกับอาหาร คือ การขาดสารไอโอดีน หรือขาดอาหารทะเล ดังนั้นไม่เกี่ยวข้องกับหัวไชเท้า และผลไม้เลย

soybean-brown-sugar
ห้ามกิน น้ำเต้าหู้ ใส่น้ำตาลแดง?
เขาบอกว่า ทำให้สูณเสียวิตามินไป
เรื่องจริงคือ น้ำตาล ไม่ใช่ตัวที่ทำให้วิตามินจางหายไป โดยเฉพาะวิตามินที่อยู่ในน้ำเต้าหู้อย่าง วิตามินบี ที่ไม่ลดลงเมื่อเจอกับน้ำตาลแต่อย่างใด
honey-hot-water
ห้ามกิน น้ำผึ้ง ที่นำไปละลายในน้ำร้อน?
เขาบอกว่า จะทำให้คุณค่าวิตามินสูญหายไป
เรื่องจริงคือ วิตามินบางส่วนถูกทำลายด้วยความร้อนจริง ดังนั้นรับประทานสดๆ จะได้วิตามินมากกว่า แต่หากใครที่ชอบทำไปผสมกับเครื่องดื่มร้อนๆ แนะนำให้ใช้น้ำอุ่นๆ แทน
mangosteen-sugar
ห้ามกิน มังคุด กับน้ำตาล?
เขาบอกว่า ทานด้วยกันแล้วจะทำให้เสียชีวิต
เรื่องจริงคือ ถ้าเป็นผู้ป่วยเบาหวานคงไม่ดีแน่ แต่หากพูดถึงการทานด้วยกันแบบคำสองคำ ไม่มีผลถึงขั้นทำให้เสียชีวิตได้แน่นอน อย่างไรก็ตาม ไม่แนะนำให้ทานด้วยกันเท่าไร เพราะมังคุดก็มีน้ำตาลสูงอยู่แล้ว น้ำตาลมากพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องเพิ่มน้ำตาลเข้าไปอีก
sake-persimmon
ห้ามกิน เหล้าขาว กับลูกพลับ?
เขาบอกว่า เมื่อทานด้วยกันแล้วทำให้เป็นพิษในร่างกาย
เรื่องจริงคือ ไม่เป็นความจริง ไม่มีสารตัวไหนของอาหารทั้งสองชนิดนี้ ทำให้เกิดพิษในร่างกายแต่อย่างใด
durian-alcohol
ห้ามกิน ทุเรียน กับแอลกฮอล์/น้ำอัดลม?
เขาบอกว่า ทานด้วยกันแล้วจะทำให้เสียชีวิต
เรื่องจริงคือ มีส่วนที่เป็นความจริงอยู่ โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัวอย่าง โรคเบาหวาน โรคหัวใจ และโรคความดันโลหิตสูง เมื่อทานทุเรียน และแอลกอฮอล์/น้ำอัดลมด้วยกัน ซึ่งเป็นอาหารที่มีพลังงานสูง หรือมีน้ำตาลสูงทั้งคู่ จะทำให้ค่าน้ำตาลในเลือดสูงไปด้วย ร่างกายเกิดความร้อนสูงผิดปกติ และทำให้ร่างกายขาดน้ำอย่างรุนแรง ส่งผลให้มีอาการหน้าร้อนวูบวาบ ตัวสั่น ง่วงซึม อาเจียน คลื่นไส้ จนอาจหมดสติ หรือเสียชีวิตได้ (ในกรณีที่รับประทานเข้าไปในปริมาณมาก)
โดยส่วนใหญ่แล้วจะไม่เป็นความจริง แต่ก็มีบางเรื่องที่ควรระวังอยู่ด้วยเหมือนกัน ทางที่ปลอดภัยคือ อย่าทานอาหารชนิดใดชนิดหนึ่งซ้ำๆ หรือมากจนเกินไป เลือกทานอาหารให้หลากหลายอย่างละนิดอย่างละหน่อย ช่วยกระจายความเสี่ยงได้ และลดปัญหาการขาดสารอาหารได้ด้วย
ขอขอบคุณ
ข้อมูล : Dr. Jessada Denduangboripant กรมอนามัย